วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555





แตงกวา



           แตงกวา เป็นไม้เลื้อยในวงศ์Cucurbitaceae(ตระกูลเดียวกันกับแตงโม ฟักทอง บวบ มะระ น้ำเต้า)นิยมปลูก
           เพื่อใช้ผลเป็นอาหาร มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 30-45 วันแตงกวาสามารถนำไปปรุงอาหารได้มากมายหลาย
           ชนิด เช่น แกงจืดผัดกินกับน้ำพริกหรืออาจแปรรูปเป็นแตงกวาดอง

           แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของ 
           เสียตกค้างในร่างกาย นอกจากนี้แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกัน
           การสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม 

        ซิลิก้าเป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก ปริมาณ เส้นใย 
    ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีส ในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความ สมดุลของสารอาหาร          
    ในร่างกาย ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทกล้ามเนื้อและระบบการหมุนเวียนเลือด เส้นใย 
    อาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะ กับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก



7วิธีทำให้ผิมขาวเป็นธรรมชาติ

       1.ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว เพราะน้ำสะอาดนี้จะทำให้ร่างกายนั้นได้นำน้ำไปล้างสิ่ง
                          สกปรกออกจากร่างกาย ทั้งสารเคมีที่เราต้องทานเข้าไปทำวัน เมื่อร่างกายไปล้างอวัยวะ
                          ต่างๆแล้วนั้น ทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานได้ดี เมื่ออวัยวะทำงานได้ดี สารตกค้าง
                          ก็จะไม่เหลือหรือเหลือน้อยในร่างกาย จึงทำให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง และเป็นอีกหนึ่ง
                          วิธีทำให้ผิวขาว

                          2.การออกกำลังกาย การออกกำลังกายทำให้ร่างกายนั้นสูบฉีดเลือด เมื่อเลือดมีการสูบ
                          ฉีดแล้วจึงทำให้ร่างกายส่วนอื่นๆนั้นทำงานได้ดี  การออกกำลังกายที่ดีควรออกวันละ 
                          30 นาที 3-4ครั้ง/สัปดาห์


                          3.วิธีทำให้ผิวขาวโดยการรับประทานผักผลไม้ เพราะผักและผลไม้นั้นมีวิตามินและแร่ธาตุ
                          ที่ร่างกายต้องการ อีกทั้งแร่ธาตุจากผักผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อผิวเป็นอย่างมาก จึงทำให้
                          การรับประทานผักผลไม้ส่งผลดีต่อผิวพรรณ

                          4.รับประทานไข่ และ ตับ เพราะในไข่มีคอลลาเจนในปริมาณพอเหมาะ คอลลาเจนเป็น
                          วิตามินที่ส่งผลต่อผิวพรรณโดยตรง แต่เราควรเลือกรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ 
                          เพราะถ้าเรารับประทานมากเกินไป สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือ ในไข่นั้นมีคลอเรสเตอรอลใน
                          ปริมาณสูง ถ้าเรารับประทานทุกวันนั้น ก็จะทำให้คลอเรสเตอรอลในร่างกายสูงเกินไป  
                          ข้อดีอีกอย่างของการรับประทานไข่คือ มีราคาถูก สามารถซื้อหารับประทานได้ง่าย

                          5.ใช้เครื่องสำอางค์ที่ปลอดภัย  สังเกตเครื่องสำอางที่ปลอดภัยง่ายๆ คือ จะมีตรา 
                          ขององค์การอาหารและยาติดอยู่ที่กล่องผลิตภัณฑ์ หรือ อย. เครื่องหมายนี้รับประกัน
                          ว่าสินค้านั้นๆปลอดภัย

                          6.การหลบเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะ เป็นเรื่องที่ยากที่จะหลบไม่เจอแดดเลย 
                          เพราะแสงแดดก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่เราควรหลบเลี่ยงช่วงเวลาของแสงแดดตั้งแต่เวลา
                          11.00น.จนถึง 16.00 น. เป็นเวลาที่เราควรหลบเลี่ยงแสงแดด เพราะแดดในเวลานี้นั้น
                          เป็นแดดที่แรงเกินไป ทำให้ส่งผลไม่ดีต่อผิว แต่เราควรอาบแดดในเวลาเช้าๆ 
                          เพราะแดดเวลาเช้านั้นให้วีตามินดีต่อร่างกาย   การใส่เครื่องป้องกันแสงแดดเมื่อเวลา
                          ที่ต้องออกนอกบ้าน เช่น ใส่หมวกกันแดด การทาครีมกันแดด การใช้ร่มป้องกันแสงแดด
                          และแสงยูวี การใส่แว่นตากันแดด การใส่เสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันแสงแดด สิ่งต่างๆ
                          เหล่านี้ก็พอจะทำให้เราหลบเลี่ยงแสงแดดได้ วิธีนี้เป็นวิธีทำให้ผิวขาวที่ดีมากเลย


                          7.การพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอนั้นทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกาย
                          ทำงานได้เป็นปกติ เมื่อร่างกายเป็นปกติแล้ว ผิวพรรณเราก็จะดีไปเองเมื่อรู้ถึงสิ่งต่างๆ
                          เหล่านี้ที่เป็นวิธีทำให้ผิวขาวสดใสแล้ว  เราควรจะหยุดสิ่งที่ทำให้ผิวขาวแต่เสี่ยงต่อ
                          ความปลอดภัยต่อร่างกายเรา แล้วหันมาทำตามข้อแนะนำข้างต้นไป   ลองทำดู
                          แล้วจะรู้ว่าการทำให้ตนมีผิวขาวนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย





8 ผลไม้เพื่อผิวขาว




                        1.มะเขือเทศ ช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และป้องกันความเสื่อมของเซลล์ 

                        2.มะนาว มีวิตามินซีสูงช่วยให้ผิวเนียนใส

                        3.ส้ม เสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว 


                        4.ฝรั่ง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วยวิตามินซีปริมาณสูง



                        5.แตงโม บำรุงผิวพรรณ ช่วยล้างไต และขับปัสสาวะ 

                        6.กล้วยหอม เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอยู่ท้องนาน 

                        7.มะละกอ เป็นยาระบายอ่อนๆ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก 

                        8.แอปเปิ้ล อุดมด้วยเพคติน จึงช่วยให้เล็บแข็งแรง 





มะเขือเทศ



             มะเขือเทศ (ชื่อวิทยาศาสตร์Lycopersicon esculentum Mill.) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทาง   
         อาหารมะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 
         ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร 
         ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด

            ประโยชน์
          มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อ  
        ราได้มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูก
        หมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% 
        นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีบีตา-แคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลู
        ตามิคสูงกรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วยรักษาสิว 
        สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะ   
        ช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และ
        วิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูงมีกลดมาลิค    
        กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยวและมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยัง
        ประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น มะเขือเทศมีสรรพคุณ  
        ทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมี
        ฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตา
ได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วย
การขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

***ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย***






ว่านหางจระเข้




      ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ จัดอยู่ในตระกูลลิเลี่ยม (Lilium) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในชายฝั่งทะเล
  เมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีทั้งพันธุ์ที่
  มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้าย
  กับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆกัน เช่น เหลือง 
  ขาวและแดง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมัน
  คำว่า "อะโล" (Aloe) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "Allal" มีความหมายว่า  
  ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ ก็จะทำให้นึกถึงว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เดิมเป็นพืชที่ขึ้นใน   
  เขตร้อนต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กัน
  เป็นการใหญ่
ว่านหางจระเข้ จัดว่าเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก อยู่ในกลุ่มตะบองเพชรเขตร้อน
  แก้ปวดศีรษะ นำว่านหางจระเข้ตัดให้เป็นแว่นบางๆ เอาปูนแดงทาที่วุ้นแล้วปิดที่ขมับ จะทำให้
  เย็นหายปวด
  แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ น้ำเมือกจากว่านหางจระเข้รักษา แผลไฟลวก ขนาดรุนแรงที่สุด โดย
  ทาน้ำเมือกที่แผลให้เปียกอยู่เสมอ แผลจะหายรวดเร็วมาก อาการปวดแผลหรือการเกิดแผลเป็นจะมี
  น้อยมากหรือไม่มีเลย ผิวไหม้เพราะถูกแดดเผา ใช้วุ้นหางจระข้ทาบ่อยๆ ช่วยลด อาการปวดแสบ
  ปวดร้อน ผิวตึง และลดจำนวนผิวที่ลอกแผลจากของมีคมและแผลอื่นๆ ทำความสะอาดแผลเสีย
  ก่อน แล้วเอาวุ้นปิดลงที่แผลให้สนิท เอาผ้าปิดไว้ แล้วหยอดน้ำเมือกลงไปให้ผ้าตรงบริเวณที่แผล
  เปียกอยู่เสมอ ช่วยให้แผลหายเร็ว และลดรอยแผลเป็น
  กระเพาะลำไส้อักเสบ รับประทานวุ้นหางจระเข้ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆ ครั้ง ใช้ได้ผลในรายที่
  ลำไส้ใหญ่อักเสบ หรืออวัยวะอื่น ในทางเดินอาหารเกิดการอักเสบ
  บำรุงผมและหนังศีรษะ ใช้ วุ้นว่านหางจระเข้ ชโลมผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง รุ่งเช้าจึงใช้น้ำล้างออก 
  ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม หวีง่ายขึ้น และรักษาแผลบนหนังศีรษะ ( ก่อนใช้ควรทดลองก่อนว่า แพ้
  ว่าน หรือไม่ และควรใช้แต่น้อยดูก่อน ที่สำคัญอย่าให้ยางถูกผมเพระายางจะ กัดหนังหัว)
  ป้องกันการติดเชื้อ ใช้วุ้นหางจระเข้ ทาแผลรักษาแผลติดเชื้อได้ ทำให้แผลดีขึ้น ภายใน 12 
  ชั่วโมง
  ผื่นคันที่เกิดจากการแพ้สารต่างๆ เนื่องจากวุ้นหางจระข้จะมีฤทธิ์ระงับปวด จึงช่วยลดอาการคัน
  ด้วย และยังช่วยให้ผื่นคันหายเร็ว ขี้เรือนกวาง และ ผื่นปวดแสบปวดร้อน ใช้วุ้นหางจระเข้ กินวันละ 
  1-2 ครั้งๆ ละ 1-2 ช้อนโต๊ะ และทาควบคู่กันไป ว่านหางจระเข้ เป็นยาฝาดสมาน อาจทำให้ผิวแห้ง
  ได้ จึงควรผสมน้ำมันทาผิว หรือ น้ำมันอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย
  ลบรอยแผลเป็น ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทา เช้า-เย็น จะลดรอย แผลเป็น ลบท้องลายหลังคลอด ใช้
  วุ้นว่านหางจระเข้ทาผิว
  ท้อง ขณะตั้ง ครรภ์ แม้หลังคลอดแล้วก็ควรใช้ทาต่อเพื่อช่วยให้ผิวหน้าท้องกลับคืนสู่ สภาพปกติ 
  คนที่เคยใช้ยืนยันว่าได้ผลดี
  เส้นเลือดดำขอดที่ขาใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาที่บริเวณเส้นเลือดดำขอดและมีบางคนใช้ได้ผลดี
  มาก
  มะเร็งที่ผิวหนัง ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ทาวันละ 2-4 ครั้ง เป็นเวลาหลายเดือน
  แผลครูดและแผลถลอก ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาเบาๆ ให้ทั่วใน 24 ชั่วโมงแรก ทาบ่อยๆ แผลจะไม่
  ค่อยเจ็บและหายเร็วมาก
  โรคปวดตามข้อ รับประทานวุ้นว่านหางจระเข้ เป็นประจำจะหาย ปวดได้






วิธีรักษาสิวด้วยหอมแดง "แบบสมุนไพรธรรมชาติ"




               เคล็ดลับ วิธีรักษาสิวด้วยหอมแดง


               ในหอมแดงสดจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติมากมาย เช่น ลดไขมัน
               ในเส้นเลือด ช่วยเจริญอาหาร และช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของสิวโดยนำหัวหอมแดงสดนำมา
               ฝานเป็นแว่นบาง ๆ หรือทุบเบา ๆ แตะน้ำที่ซึมออกมาจากหัวหอมนำมาทาบาง ๆ บริเวณที่เป็นสิวหรือ
               รอยจุดด่างดำ รอยสิวก็จะค่อย ๆ จางหายไปในไม่ช้า